อย่างไรก็ตามในความพ่ายแพ้ที่แสนเจ็บปวด ก็ยังคงมีเรื่องน่ายินดีอยู่บ้างเมื่อแนวรุกของ "เดอะ เร้ดส์" กลับมาคลำเป้าได้ซะที หลังจากที่ยิงประตูในเกมลีกไม่ได้เลย 4 แมตช์รวด ดังนั้นนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่เรียกความมั่นใจให้กับทีมได้ในระดับหนึ่ง
ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนนี้ต้องบอกเลยว่าฟอร์มกำลังติดลมบน นักเตะทุกคนเล่นได้ท็อปฟอร์มสุดๆ และหากไม่เกิดอาเพศเหมือนกับ "หงส์แดง" ที่ฟอร์มร่วงกราวรูดอย่างไม่ทราบสาเหตุ งานนี้ "ปีศาจแดง" อาจจะได้มีลุ้นอะไรติดไม้ติดมือบ้างในฤดูกาลนี้
1. เกมรุกค่อยๆ กลับมาดูมีชีวิตชีวา
ลิเวอร์พูล ต้องเจอกับสถานการณ์ที่สุดแสนยากลำบากในการยิงประตูเมื่อโดนแผนการเล่นของคู่แข่งที่เน้นเกมรับในช่วงหลายๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ในแมตช์ "แดงเดือด" ฉบับเอฟเอ คัพ ดูเหมือนสิ่งเหล่านี้ค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ แล้ว
แม้ว่าจบเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทัพ "หงส์แดง" จะได้รับผลการแข่งขันที่แสนผิดหวัง แต่เรื่องดีที่สำคัญมากๆ ที่พวกเขารอคอยมานานหลายสัปดาห์นั่นก็คือเกมรุกที่ดุดัน และแมตช์นี้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แสดงให้เห็นแล้วว่านี่แหละคือสไตล์ที่พวกเขาเคยทำได้มาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ฟีร์มีโน่ โชว์ทักษะการจ่ายบอลคิลเลอร์พาสตัดสองแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ "บังโม" เข้าไปกดประตูขึ้นนำ จากนั้น สตาร์ชาวบราซิเลียน ก็มีส่วนในการเปิดบอลให้ ซาลาห์ ซัดประตูตีเสมอ 2-2 ในครึ่งหลังด้วย
การยิง 2 ประตูหลงจากที่ไม่สามารถยิงประตูได้เลย 4 เกมลีกติดต่อกัน แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นทั้งในเรื่องความเฉียบคม และความมั่นใจในแดนหน้าของ "หงส์แดง" ซึ่งเป็นสิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการอย่างมาก
อย่างน้อยๆ ประตูที่ทำได้ในการสู้กับทีมที่มีเกมรับเหนียวแน่นอย่าง แมนฯ ยูฯ แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังไม่ลืมฟอร์มที่สุดยอดก่อนหน้านี้ และน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีในแมตช์ปะทะกับ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
2. สงสัย คล็อปป์ ต้องอ้อนบอร์ดบริหารซื้อเซนเตอร์แบ็ก
ก่อนหน้านี้ คล็อปป์ บอกเองว่าไม่ต้องการผู้เล่นเซนเตอร์แบ็กในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคมนี้ แถมยังเปรยว่าอำนาจการตัดสินใจเรื่องเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในมือเขา แต่จากความพ่ายแพ้ล่าสุด งานนี้เจ้าตัวคงต้องทบทวนใหม่อีกครั้ง
สมัครสมาชิกเเละขอรับโบนัสได้ที่นี่ สมัครได้ที่ : http://bit.ly/2CNiJbP
แม้ว่า "หงส์แดง" จะสามารถรับมือกับปัญหากองหลังบาดเจ็บได้ในฤดูกาลนี้ แต่จากสถานการณ์ล่าสุด คล็อปป์ คงจะต้องรีบหาทางแก้ไขเป็นการด่วน เพราะการที่พวกเขาไม่มีทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ โจ โกเมซ แถม โฌแอล มาติป ก็เป็นประเภทสามวันดีสี่วันเดี้ยง ทำให้ไม่มีกองหลังอาชีพที่มีประสบการณ์ใช้งานแล้ว
คล็อปป์ ตัดสินใจส่ง รีส วิลเลี่ยมส์ วัย 19 ปีลงเล่นในเกมที่ค่อนข้างกดดันมากๆ และเขาไม่สามารถรับมือกับเทคนิดและความว่องไวของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในสถานการณ์ที่ต้องดวลกันแบบตัวต่อตัวได้เลย และยังมีส่วนต่อการเสียประตู 2-1 ด้วย
รีส พลาดจังหวะตัดบอลจากการเปิดของ เมสัน กรีนวู้ด ทำให้ แรชฟอร์ด ได้หลุดเข้าไปดวลกับ อลีสซง เบ็คเกอร์ ก่อนที่จะส่งบอลเข้าซุกก้นตาข่าย แถมยังมีอีกหลายจังหวะที่ "เจ้าหนูรีส" ไม่สามารถรับมือเกมรับของ "ปีศาจแดง"
แม้อาจจะอ้างได้ว่านักเตะยังไร้ประสบการณ์ และอาจจะผิดพลาดได้ แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ คล็อปป์ ต้องรีบแก้ไข หากขืนยังใช้งานดาวรุ่งต่อไป อาจจะส่งผลเสียทั้งเรื่องความเชื่อมั่นของนักเตะ และโอกาสในการป้องกันแชมป์ลีก ด้วย
3. บรูโน่ เทพบุตรแห่งโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
การที่แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เห็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมนี้ แน่นอนว่าพวกเขาค่อนข้างใจหายพอสมควร เพราะนั่นหมายความว่าทีมจะขาดประสิทธิภาพในเกมรุก โดยเฉพาะจังหวะผ่านบอลที่เฉียบคมให้แดนหน้า
แม้ว่าเกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะยิงได้ 2 ประตูก็ตาม แต่สถานการณ์เกมรุกก็ไม่ได้มีจังหวะโดดเด่นอะไรมากนัก นอกจากการเล่นแบบสวนกลับเร็ว ซึ่งเป็นแผนที่ถนัดของเจ้าบ้านอยู่แล้ว แต่พอ บรูโน่ ลงสนามในช่วงปลายครึ่งหลัง ฟอร์มของ "ผีแดง" ก็ยกระดับขึ้นมาทันที
มันอาจจะดูยกยอเกินไปที่จะบอกว่านักเตะคนเดียวสามารถเปลี่ยนแปลงทีมได้ แต่ จอมทัพชาวโปรตุกีส เป็นเช่นนั้นจริงๆ แค่มีเขาลงสนามเกมบุกของ แมนฯ ยูฯ ก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะการเล่นลูกฟรีคิกยิ่งน่ากลัวเป็นสองเท่า
ลูกยิงปลิดวิญญาณบริเวณกรอบเขตโทษของ บรูโน่ น่าจะเป็นการปิดปากบรรดานักวิจารณ์ที่มักจะมองว่าเขาไม่ใช่นักเตะที่ทำผลงานได้โดดเด่นในเกมใหญ่โดยเฉพาะการดวลกับพวกท็อปซิกซ์ แต่กระนั้นบทสรุปสุดท้ายก็คือการคว้าแชมป์ ถ้าหากทำไม่ได้ เจ้าตัวก็คงยังโดนวิจารณ์อยู่ดี
4. ต้องมีสมาธิให้มากยิ่งขึ้นไม่งั้นอาจเน่าอีก
ฤดูกาลนี้ของ ลิเวอร์พูล เหมือนการเล่นรถไฟเหาะตีลังกา ช่วงแรกก็มาดีฟอร์มโหดน่ากลัว ช่วงนี้ผลงานแย่ฟอร์มร่วงกราวรูด สะกดคำว่าชนะได้แค่เกมเดียวจากทั้งหมด 7 แมตช์ในทุกรายการ แถมแมตช์ที่ชนะก็เป็นการตบเด็กแอสตัน วิลล่า อีกต่างหาก
อย่างไรก็ตามฟอร์มในเกมแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ร่วงตกรอบ 4 ศึกเอฟเอ คัพ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากนัก แถมยังออกจะดูดีมีสไตล์ โดยเฉพาะการเล่นเกมบุกที่ค่อนข้างน่ากลัว แม้จะยังขาดความเฉียบคมไปบ้าง กระนั้นก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับทีม
สำหรับตอนนี้ "เดอะ เร้ดส์" ต้องกลับมาตั้งสติ และมีสมาธิให้มากยิ่งขึ้นเป็นสองเท่าในเกมพรีเมียร์ลีก เพราะถึงแม้พวกเขาจะหล่นไปอยู่อันดับ 4 แต่ก็มีแต้มห่าง แมนฯ ยูไนเต็ด จ่าฝูงเพียง 6 คะแนนเท่านั้น แถมเกมลีกยังเหลืออีกบานเบอะ ทุกอย่างย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงได้
กระนั้นเมื่อมองไปดูทีมที่อยู่ต่ำกว่าพวกเขานั่นก็คือ สเปอร์ส และ เอฟเวอร์ตัน รวมไปถึง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ต้องบอกว่าอาจจะทำให้ "หงส์แดง" เสียวหัวใจได้เพราะพวกเขามีคะแนนตามจี้ไม่กี่แต้ม แถม ลิเวอร์พูล ยังมีคิวด้วยกับทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ วันพฤหัสบดีนี้ ถ้าหากเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาสถานการณ์จะยิ่งหนักเข้าไปอีก
ด้วยเหตุนี้ คล็อปป์ ต้องเรียกสมาธิ และความมั่นใจของลูกทีมกลับมาให้เร็วที่สุด ในส่วนของเกมรุกตอนนี้มีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่เกมรับถ้ายังใช้งาน รีส วิลเลี่ยมส์ ต่อไป สาวก "เดอะ ค็อป" อาจจะได้เห็นอะไรหวาดเสียวอีกเกม
5. แรชฟอร์ด ฟอร์มโหดเหลือเกิน
แมตช์นี้ โซลชา เลือกจับ มาร์คัส แรชฟอร์ด เล่นร่วมกับ เมสัน กรีนวู้ด และงานนี้ก็ไม่ผิดหวังเพราะทั้งสองคนฟอร์มโดดเด่นมากๆ โดยเฉพาะในรายของดาวยิงอาหารกลางวันที่ทำผลงานได้อย่างสุดยอดเกินห้ามใจจริงๆ
แรชฟอร์ด มีสองกับสองประตูแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเป็นคนที่แอสซิสต์ให้ กรีนวู้ด กดประตูตีเสมอ และจากนั้นเจ้าตัวก็โชว์ลีลาความรวดเร็วในการลากเดี่ยวเข้าไปดวลตัวต่อตัวกับ อลีสซง เบ็คเกอร์ ก่อนจะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย
ต้องยอมรับว่าเทคนิคและความเร็วของ แรชฟอร์ด ปั่นป่วนเกมรับของทีมเยือนมากๆ โดยเฉพาะในการดวลกับ วิลเลี่ยมส์ ที่ไร้ทั้งประสบการณ์และความเร็ว ยิ่งทำให้เขาเล่นได้ง่ายเหลือเกิน แต่ทั้งหมดก็ต้องยกเครดิตให้ความทักษะของเขาที่สามารถงัดออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ในแมตช์สำคัญแบบนี้
ที่สำคัญ แรชฟอร์ด คงจะเป็นหัวหอกที่สามารถหลอนทัพ "หงส์แดง" ไปอีกนาน เพราะตอนนี้เขาซัดไปแล้ว 4 ประตูจาก 5 แมตช์ที่ทำศึก "แดงเดือด" ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่มาเยือนที่นี่งานนี้คงต้องจับตาม "หนุ่มแรช"
6. แท็กติกการเจาะเกมรับของ โซลชา
หลายคนอาจจะมองว่า ลิเวอร์พูล ทำผิดพลาดในเกมรับสำหรับ 2 ประตูแรกที่พวกเขาเสียไป แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้เป็นหมากที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่เตรียมเอาไว้เล่นงานแนวรับของ "หงส์แดง" ที่มักจะขึ้นสูงเพื่อดันเกมรุก
จังหวะที่ได้ประตูตีเสมอ 1-1 เป็นจังหวะการสวนกลับเร็ว โดย แรชฟอร์ด มองเห็นพื้นที่ว่างระหว่าง กรีนวู้ด กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เช่นเดียวกับจังหวะที่ได้ประตูนำ 2-1 กรีนวู้ด ใช้พื้นที่ว่างระหว่าง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ รีส วิลเลี่ยมส์ ให้เกิดประตู กอปรกับ "เจ้าหนูรีส" พลาดด้วย ทำให้ทีมเยือนต้องเสียประตู
สำหรับทั้งสองประตูนี้ต้องบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องของความผิดพลาดจาก ลิเวอร์พูล แต่เป็นสิ่งที่ โซลชา ตั้งใจที่จะให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นแบบนี้ และผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่าด้วย ดังนั้นต้องเครดิตให้กับ "น้าลูกอม" ในการวางแท็กติกได้อย่างแยบยล
ตอนนี้ โซลชา ได้ค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงกึ๋นที่แสนเฉียบคมในการวางหมากการเล่นในแต่ละเกมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และนั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้อย่างน่าเหลือเชื่อในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
7. ฟาน เดอ เบ็ค กับ ป็อกบา ประสานงานได้ดี
แม้ว่าในช่วงต้นฤดูกาลหลายคนมองว่า ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค เป็นนักเตะที่เล่นไม่คุ้มค่าตัว แต่ตอนนี้ ดาวเตะเลือดดัตช์ ค่อยๆ พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเกม "แดงเดือด" ที่โรงละครแห่งความฝัน เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคู่ควรกับการสวมเสื้อ "ปีศาจแดง"
กองกลางทีมชาติฮอลแลนด์ ทำหน้าที่ได้ดีในการครองบอล, คุมจังหวะการเล่น และยังมีโอกาสได้ผ่านบอลสร้างสรรค์เกมด้วย โดยเฉพาะเวลาที่ทีมได้เล่นสวนกลับ ฟาน เดอ เบ็ค สามารถป่วนแนวรับของ "เดอะ เร้ดส์" ได้ตลอด แม้ว่าเขาอาจจะมีบทบาทในเกมน้อย ส่วนครึ่งหลังแทบหายไปจากเกม แต่ผลงานโดยรวมถือว่าสำคัญมากๆ
ส่วน ปอล ป็อกบา ต้องบอกเลยว่านี่คืออีกหนึ่งเกมที่เขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นยอดนักเตะอย่างแท้จริง โดยเจ้าตัวใช้ความเร็วในการไล่บี้เพื่อแย่งบอลคืนมาจากคู่แข่ง และยังทำงานหนักในแผงกองกลาง นอกจากนี้ยังเป็นคนตัดบอลจนทีมได้สวนกลับก่อนยิงประตูตีเสมอ 1-1
ที่สำคัญ ดาวเตะแชมป์โลก กลายเป็นผู้เล่นสารพัดประโยชน์ไปแล้วทั้งเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง และยังขยับไปเล่นทางฝั่งขวาซึ่งเจ้าตัวก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น ยิ่งพอได้ประสานงานกับ บรูโน่ ในช่วงปลายครึ่งหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ยิ่งอันตรายมากขึ้น ดังนั้นต้องยอมรับว่าชั่วโมงนี้ ป็อกบา โคตรครบเครื่องจริงๆ
CR . ทอมเม้ง siamsport
สมัครสมาชิกเเละขอรับโบนัสได้ที่นี่ สมัครได้ที่ : http://bit.ly/2CNiJbP
มีบริการดูเเล 24 ชั่วโมง สามารถพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผ่านทางไลน์ ได้สะดวกสุดๆ
โพสต์โดย : ลิเวอร์พูล คว้าเเชมป์พรีเมียร์ลีก เมื่อ 25 ม.ค. 2564 17:15:05 น. อ่าน 413 ตอบ 2
RE : แพ้แต่ยิงได้ซะที! เจาะ 7 ประเด็น แมนยู เขี่ย ลิเวอร์พูล ร่วงเอฟเอ คัพ
ตอบโดย : da เมื่อ 28 มี.ค. 2560 08:40:49 น. ตอบคำถาม
RE : แพ้แต่ยิงได้ซะที! เจาะ 7 ประเด็น แมนยู เขี่ย ลิเวอร์พูล ร่วงเอฟเอ คัพ
ตอบโดย : fluk เมื่อ 29 มี.ค. 2560 02:52:18 น. ตอบคำถาม